องค์การ (Organization)
องค์การ (Organization) เป็นคำนิยามของการรวมตัวกันอย่างเป็นระบบ หรือบางที่ให้คำจำกัดความว่า เป็นการจัดการที่มีการร่วมมือและประสานงานกัน ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อให้ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์เฉพาะอย่างที่ตั้งไว้ โดยมีการใช้อำนาจการบริหารที่ชัดเจนมีการแบ่งงานและหน้าที่ มีลำดับขั้นของการบังคับบัญชาและความรับผิดชอบ
การจะทำความเข้าใจคำว่าองค์การนั้น ถ้าดูที่การแบ่งประเภทขององค์การจะทำให้เข้าใจดีขึ้น เช่น
- องค์การทางสังคม ครอบครัว สถาบันการศึกษาทุกระดับ โรงเรียน มหาวิทยาลัย สถาบันศาสนา วัด ศูนย์ปฏิบัติธรรม สถาบัน กลุ่ม ชมรม มูลนิธิ ฯลฯ ที่ตั้งขึ้นเพื่อกิจการเฉพาะอย่างแต่มุ่งประโยชน์ในระดับสังคม2. องค์การทางราชการ ทุกระบบที่เป็นส่วนราชการ ระดับกระทรวง ทบวง กรม3. องค์การเอกชน เช่น บริษัทห้างร้านที่ตั้งขึ้นมาด้วยรูปแบบต่างๆ เพื่อมุ่งหากำไรเป็นสำคัญ ลักษณะขององค์การทางธุรกิจนั้น แบ่งได้เป็น
- โดยมีลูกน้องมาร่วมมือกันทำงานเพื่อมุ่งสู่ความสำเร็จ
- และในปัจจุบันธุรกิจแบบเจ้าของคนเดียวแพร่หลาย
- มากขึ้นเนื่องจากมีช่องทางการตลาดแบบออนไลน์
- 3.2 ห้างหุ้นส่วนสามัญ ผู้ร่วมเป็นหุ้นส่วนในองค์การ
- ประเภทนี้จะต้องร่วมรับผิดชอบในองค์การร่วมกัน
- ในทุกเรื่องทั้งทรัพย์สินและหนี้สิน
- 3.3 ห้างหุ้นส่วนจำกัด องค์การธุรกิจประเภทนี้มีความต่างจากห้างหุ้นส่วนสามัญตรงที่ เฉพาะหุ้นส่วนเฉพาะบางคนเท่านั้นที่ต้องรับผิดชอบไม่จำกัด ผู้ถือหุ้นนอกนั้นรับผิดชอบ “จำกัด” ตามจำนวนหุ้นที่ตัวเองถือครอง
- 3.4 บริษัทจำกัด เป็นองค์การทางธุรกิจ ที่จัดตั้งขึ้น แล้วแบ่งทุนเป็นหุ้น ผู้ถือหุ้นมีความรับผิดชอบจำกัดเพียงไม่เกินจำนวนเงินหุ้นที่ตนถือเท่านั้น
ลักษณะขององค์การ
1. เป็นโครงสร้างของความสัมพันธ์
โดยมีลักษณะสำคัญดังนี้
1. กำหนดงานให้ชัดเจน มีการแบ่งงานกันทำ
สมาชิกในองค์การจะได้รับมอบหมายงานให้ทำงานตามความรู้
ความสามารถและความถนัดของแต่ละบุคคล
2. มีสายบังคับบัญชาเป็นชั้นๆ ลดหลั่นกันลงมา
มีสายการบังคับบัญชาเป็นชั้นๆ
ตั้งแต่ระดับระดับสูงสุดลงมาถึงระดับล่างสุดขององค์การ
3. มีวัตถุประสงค์
องค์การต้องมีวัตถุประสงค์ที่แน่นอน เพื่อสมาชิกขององค์การจะได้ยึดถือเป็นแนวทางในการทำงาน
2. เป็นกลุ่มบุคคล
กลุ่มบุคคล
เกิดจากการรวมกลุ่มที่ถาวรเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ
ให้บรรลุเป้าหมายร่วมกันขนาดของกลุ่มเท่าใดขึ้นอยู่กับลักษณะของกิจการที่ทำ
3. เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการ
เนื่องจากองค์การจะมีปัจจัยต่างๆ ที่จะต้องใช้ในการจัดการ
เช่น เงิน วัสดุอุปกรณ์ รวมถึงคนด้วย ดังนั้น เพื่อให้มีการใช้ปัจจัยต่างๆ
ดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพ จึงต้องมีความชัดเจนในการจัดองค์การ
4. เป็นกระบวนการ
เนื่องจากองค์การมีงานหรือกรรมวิธีต่างๆ
ซึ่งดำเนินต่อเนื่องกันไปจนสำเร็จลง ณ ระดับหนึ่ง
5. เป็นระบบ
ระบบเป็นการรวมสิ่งต่างๆ
ในองค์การที่มีลักษณะซับซ้อนให้เข้าลำดับประสานกันเป็นอันเดียว ประกอบด้วย 3 ระบบใหญ่ๆ คือ ทรัพยากรที่ใช้ (Resource Input) กระบวนการแปรรูป
(Tranformation Process) และผลผลิต (Product Output)
ความหมายขององค์การ
มีนักวิชาการได้ให้ความหมายขององค์การไว้
ดังนี้
แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) กล่าวว่า องค์การ หมายถึง
หน่วยสังคมหรือหน่วยงานซึ่งมีกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่งร่วมมือกันดำเนินกิจกรรมต่างๆ
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง
เชสเตอร์ บาร์นาร์ด กล่าวว่า องค์การ
หมายถึง
ความร่วมมือกันระหว่างบุคคลหลายคนซึ่งมีความตั้งใจจริงที่จะร่วมกันดำเนินกิจกรรมให้บรรลุวัตถุประสงค์
แทลคอตต์ พาร์สัน กล่าวว่า องค์การ
หมายถึง บรรดาระบบประสานสัมพันธ์ร่วมมือกันทำงานทุกชีวิตของมนุษย์
เอมิไท เอตชิโอนิ (Amitai Etzioni)
กล่าวว่า องค์การ หมายถึง สังคมหรือหน่วยคนที่ตั้งขึ้นอย่างจงใจ
เพื่อทำงานให้บรรลุเป้าหมายที่แน่นอนอย่างใดอย่างหนึ่ง
ธงชัย สันติวงษ์ กล่าวว่า
องค์การคือการจัดระเบียบกิจกรรมให้เป็นกลุ่มก้อนเข้ารูปและการมอบหมายงายให้คนปฏิบัติ
เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของงานที่ตั้งไว้
ศิริวรรณ เสรีรัตน์ และคณะ กล่าวว่า
องค์การคือ กระบานการที่กำหนดกฎ ระเบียบ
แบบแผนในการปฏิบัติงานขององค์การซึ่งรวมถึงวิธีการทำงานรวมกันเป็นกลุ่ม
สมบูรณ์ ศรีสุพรรณดิษฐ์
ได้เสนอความหมายขององค์การไว้ว่า เป็นระบบประสานกิจการของกลุ่มคนซึ่งร่วมงานกัน
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายรวมภายใต้การสั่งการและความเป็นผู้นำ
สมคิด บางโม กล่าวว่า องค์การ หมายถึง
กลุ่มบุคคลหลายๆคนรวมกลุ่มกันอย่างถาวร
มีการจัดระเบียบภายในกลุ่มเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของแต่ละคน
จากความหมายขององค์การระดับต่างๆ
ที่กล่าวทั้งหมดอาจสรุปได้ว่า องค์การ คือ กลุ่มบุคคลที่มาปฏิบัติงานร่วมกัน
เพื่อให้งานดำเนินไปสู่ความสำเร็จตามวัตถุประสงค์
โดยมีระบบของการประสานงานอย่างเหมาะสม
ลักษณะขององค์การ
1.
เป็นโครงสร้างของความสัมพันธ์ โดยมีลักษณะสำคัญดังนี้
1. กำหนดงานให้ชัดเจน มีการแบ่งงานกันทำ
สมาชิกในองค์การจะได้รับมอบหมายงานให้ทำงานตามความรู้
ความสามารถและความถนัดของแต่ละบุคคล
2. มีสายบังคับบัญชาเป็นชั้นๆ
ลดหลั่นกันลงมา มีสายการบังคับบัญชาเป็นชั้นๆ ตั้งแต่ระดับ
ระดับสูงสุดลงมาถึงระดับล่างสุดขององค์การ
3. มีวัตถุประสงค์
องค์การต้องมีวัตถุประสงค์ที่แน่นอน
เพื่อสมาชิกขององค์การจะได้ยึดถือเป็นแนวทางในการทำงาน
2.
เป็นกลุ่มบุคคล
กลุ่มบุคคล
เกิดจากการรวมกลุ่มที่ถาวรเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ให้บรรลุเป้าหมายร่วมกันขนาดของกลุ่มเท่าใดขึ้นอยู่กับลักษณะของกิจการที่ทำ
3.
เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการ
เนื่องจากองค์การจะมีปัจจัยต่างๆ
ที่จะต้องใช้ในการจัดการ เช่น เงิน วัสดุอุปกรณ์ รวมถึงคนด้วย ดังนั้น
เพื่อให้มีการใช้ปัจจัยต่างๆ ดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพ จึงต้องมีความชัดเจนในการจัดองค์การ
4.
เป็นกระบวนการ
เนื่องจากองค์การมีงานหรือกรรมวิธีต่างๆ
ซึ่งดำเนินต่อเนื่องกันไปจนสำเร็จลง ณ ระดับหนึ่ง
5. เป็นระบบ
ระบบเป็นการรวมสิ่งต่างๆ
ในองค์การที่มีลักษณะซํบซ้อนให้เข้าลำดับประสานกันเป็นอันเดียว ประกอบด้วย 3 ระบบใหญ่ๆ
คือ ทรัพยากรที่ใช้ (Resource
Input) กระบวนการแปรรูป (Tranformation Process) และผลผลิต (Product Output)
ประเภทขององค์การ
1.
ยึดตามวัตถุประสงค์เป็นเกณฑ์ แบ่งได้ 4 ประเภท ดังนี้
1. เพื่อประโยชน์ของสมาชิก
ตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์ของสมาชิกโดยตรง เช่น พรรคการเมือง สหกรณ์สโมสร สมาคบวิชาชีพ
(ครู แพทย์ พยาบาล) เป็นต้น
2. เพื่อองค์การธุรกิจ
ตั้งขึ้นเพื่อกำไร เช่น ห้างร้าน บริษัท ธนาคาร งานอุสาหกรรม เป็นต้น
3. เพื่อบริการ
เป็นองค์การที่ตั้งขึ้นเพื่อสร้างประโยชน์แก่สาธารณทั่งไป เช่น โรงบาล โรงเรียน
สมาคบสงเคราะห์ เป็นต้น
4. เพื่อสวัสดิภาพของประชาชน
เป็นองค์การที่ตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประชาชน เช่น กระทรวง ทบวง กรม กอง
เป็นต้น
2.
ยึดโครงสร้างเป็นเกณฑ์ ในการแบ่ง มี 2 ประเภท คือ
1. แบบเป็นทางการ (Formal
Organization) หรือเรียกว่าองค์การรูปใน
เพราะว่ามีโครงสร้างอย่างเป็นระบบ มีระเบียบแบบแผนแน่นอน มีกฎหมายรองรับ เช่น
บริษัท มูลนิธิ หน่วยราชการ กรม โรงพยาบาล โรงเรียน เป็นต้น
2. แบบไม่เป็นทางการ (lnformal
Organization) หรือเรียกว่า องค์การรูปนัย
เนื่องจากองค์การแบบนี้ตั้งขึ้นด้วยความพึงใจ และมีความสัมพันธ์ส่วนตัว
ไม่มีการจักโครงการภายใน มีการรวมกันอย่างง่าย ๆ และเลิกล้มได้ง่าย เช่น ครบครัว
ศาสนา เป็นต้น
3.
ยึดการกำหนดเป็นเกณฑ์ มี 2 ประเภท ดั้งนี้คือ
1. องค์การขั้นปฐมภูมิ (Primary Organization)
หมายถึง
องค์การที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติสมาชิกทุกคนต้องเกี่ยวข้องกันมาแต่กำเนิด
มีกิจกรรมรวมเฉพาะกลุ่มติดต่อด้วยการส่วนตัว เช่น ครบครัว ศาสนา หมู่บ้าน เป็นต้น
2. องค์การขั้นทุติยภูมิ (Secondary
Organization) หมายถึง องค์การที่มนุษย์ตั้งขั้น
สมาชิกมีความสัมพันธ์กันด้วนเหตุผล และความรู้สึกสำนึกอย่างเป็นทางการ
ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในองค์การไม่เป็นแบบส่วนตัว เช่น หน่วยงานราชการ
ห้างหุ้นส่วน บริษัท สมาคม โรงเรียน สโมสร โรงพยาบาล เป็นต้น
วัตถุประสงค์ขององค์การ
1.
เพื่อสร้างคุณค่าที่สังคมปรารถนาโดยเฉพาะหน่วยงานราชการเพื่อบริการประชาชนสร้างสรรค์ความอยู่ดีกินดีให้แก่ประชาชน
ตลอดจนคุ้มครองความปลอดภัยต่าง ๆ และพัฒนาประเทศ
2.
เพื่อตอบสนองความต้องการของสมาชิกแต่ละคน และกลุ่มต่าง ๆ
ในองค์การเพราะความต้องการของสมาชิกในกลุ่มมีความแตกต่างกัน
3.
เพื่อความดำรงอยู่และความเจริญขององค์การ สมาชิกทุกคนต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
เพื่อให้องค์การบรรลุเป้าหมาย เช่น งานราชการ ต้องทำหน้าที่บริการประชาชน
งานธุรกิจเอกชน ต้องทำหน้าที่ให้ได้กำไรมากที่สุด
ท้ายสุดองค์การก็เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าต่อไป
สรุปแล้ววัตถุประสงค์ขององค์การ
มีดังนี้
1. สร้างสรรค์สินค้าและบริการ
2. สนองตอบความต้องการของสมาชิกและสังคม
3.
ความดำรงอยู่ตลอดไป
ประโยชน์ของการจัดองค์การ
องค์การ เป็นที่รวมของคนและงานต่าง ๆ
เพื่อให้พนักงานขององค์การปฏิบัติงานได้อย่างเต็มที่และเต็มความสามารถ
จึงจำเป็นต้องจัดแบ่งหน้าที่การงานกันทำและมอบอำนาจให้รับผิดชอบตามความสามารถและความถนัด
ถ้าเป็นองค์การขนาดใหญ่และมีคนมากตลอดจนงานที่ทำมีมาก
ก็จะต้องจัดหมวดหมู่ของงานที่ทำเป็นอย่างเดี่ยวกันหรือมีลักษณะใกล้เคียงกันมารวมเข้าด้วยกัน
เรียกว่า ฝ่ายหรือแผนงาน แล้วจัดให้คนที่มีความสามารถในงานนั้น ๆ มาปฏิบัติงานรวมกันในแผนกนั้นและตั้งหัวหน้างานขึ้นรับผิดชอบครบคุม
ดังนั้นจะเห็นว่าการจัดองค์การมีความจำเป็นและก่อประโยชน์หลายด้าน ดังนี้
1. ประโยชน์ต่อองค์การ
2. ประโยชน์ต่อผู้บริการ
3. ประโยชน์ต่อผู้ปฏิบัติงาน